>> พด.14 ไตรโคเดอร์มา ป้องกันรากเน่าโคนเน่าในดิน?
   ตอบ; ไตรโคเดอร์มาที่กรมพัฒนาที่ดินนำมาใช้ควบคุมการเกิดโรคพืช ในสารเร่ง พด.14 จะเป็นTrichoderma Hazianum(ไตรโคเดอร์ม่า ฮาเซียนัม) ซึ่งเชื้อราไตรโคเดอร์มา

สายพันธุ์ที่มีรายงานการใช้งานทั้งในและต่างประเทศมีอยู่ไม่กี่สายพันธุ์ เช่น Trichoderma Hazianum , Trichoderma viride, Trichoderma virens และ Trichoderma polysporum แต่ เชื้อราไตรโคเดอร์มา สายพันธุ์ ฮาเซียนั่มเป็นสายพันธุ์ที่มีรายงานการใช้มากที่สุดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเพราะทนต่อสภาวะแวดล้อมในบ้านเราได้ดีและเจริญเติบโตดี

ประโยชน์ของการใช้ไตรโคเดอร์มา ควบคุม ทำลายหรือยับยั้งเชื้อราในดินสาเหตุโรคพืชทั้งราชั้นสูงและราชั้นต่ำ เช่น

   1. ทำลายเชื้อราพิเทียม (Pythium sp.) สาเหตุโรคเน่าระดับดิน กล้ายุบ กล้าเน่า โคนเน่า โรคยอด
เน่าในพืชไร่ มะเขือเทศ พืชผักชนิดต่างๆ

   2. ทำลายเชื้อราไฟทอฟเทอร่า (Phytopthora sp.) สาเหตุโรคราที่ทำให้ผลร่วง ดอกร่วงในลำไย
ลิ้นจี่ โรคดอกร่วงในทุเรียน โรครากเน่า-โคนเน่า ใน พริก ทุเรียน ส้ม มะนาว พริกไทย แตงโม แตงกวา แตงร้าน
มะเขือเทศและโรคเน่าเข้าไส้ในกล้วย ฯลฯ

   3. ทำลายเชื้อราสเคอโรเทียม (Sclerotium sp.) สาเหตุโรค โคนเน่า โรคกล้าไหม้ ราเม็ดผักกาด โรคเหี่ยว
ในพืชผักชนิดต่าง ๆ มะเขือเทศ พืชไร่ สตรอเบอรี่ มันฝรั่ง

   4. ทำลายเชื้อราไรซอกโทเนีย (Rhizoctonia sp.) สาเหตุโรคเน่าคอดิน กล้ายุบ กล้าเน่า ทำให้
ทุเรียนเป็นโรคใบติด

   5. ทำลายเชื้อราคอลเลทโททริกัม (Colletotrichum sp.) สาเหตุโรคแอนแทรคโนสในมะม่วง องุ่น
ฝรั่ง พุทรา ชมพู่ มะละกอ พริก หอมหัวใหญ่ หอมแบ่ง หอมแดง กระเทียม มันฝรั่ง

   6. ทำลายเชื้อราอัลเทอนาเรีย (Alternaria sp.) สาเหตุโรคโรคใบจุดเน่าในพืชตระกูลกระหล่ำ เช่น
ผักคะน้า ผักกาดขาว กระหล่ำดอก กระหล่ำปลี บรอคโครี่ สตรอเบอรี่ มันฝรั่ง พริก

   7. ทำลายเชื้อรา ฟิวชาเรียม (Fusarium sp.) สาเหตุโรคใบไหม้ในไม้ผล พืชไร่ พืชผักชนิดต่างๆ
ตลอดจนไม้ดอก ไม้ประดับ

   +++ สำหรับอัตราการใช้ของสารเร่ง พด.14 จะอยู่ที่ 1 ซอง(น้ำหนัก 80 กรัม) ผสมน้ำ 50 ลิตร ฉีดพ่นได้ 1 ไร่


พด.2ย่อยสลายตอซังฟางข้าว?
   ตอบ;สารเร่งซุปเปอร์ พด.2เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติในการย่อยสลายวัสดุการเกษตรในลักษณะสด อวบน้ำ หรือมีความชื้นสูง เพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำ โดยดำเนินกิจกรรมทั้งในสภาพที่ไม่มีอากาศและมีอากาศ ประกอบด้วยจุลินทรีย์ 5 สายพันธุ์ ดังนี้ยีสต์ ผลิตแอลกอฮอล์ และกรดอินทรีย์ แบคทีเรียผลิตกรดแลคติก

แบคมีเรียย่อยสลายโปรตีน แบคทีเรียย่อยสลายไขมัน แบคทีเรียละลายอนินทรียฟอสฟอรัส

อยากเลี้ยงหมูเป็นอาชีพเสริม ที่ทำได้ง่ายๆ
   ตอบ;การเลี้ยงหมูหลุมประยุกต์ในครั้งนี้ต้องการให้เกษตรกรมีการเรียนรู้วิธีการเลี้ยงหมูป่าในหลุมประยุกต์ที่มีการยกหลุมมาตั้งบนพื้นดินหรือซีเมนต์ เพื่อการระบายอากาศที่ดี(เหมาะกับสภาพอากาศร้อนของไทย)ง่ายสะดวกในการเลี้ยงและการจัดการเพื่อสุขภาพสัตว์ที่ดีที่สำคัญคือต้องการให้ชาวบ้านเห็น

ช่องทางอาชีพ(เสริม)โดยใช้การเลี้ยงหมูหลุมประยุกต์ ให้เป็นเครื่องกำจัดขยะสดและเศษอาหารในครัวเรือน เศษพืช วัชพืช เช่น จอก แหน ผักตบชวา

หญ้าขน ใบกระถิน หยวกกล้วย เป็นโรงงานผลิตปุ๋ยหมักชั้นดีไว้ใช้ในไร่นา เพื่อใช้ในการปลูกผัก ไม้ผล พืชไร่หรือทำนา หรือขายขี้หมูเป็นรายได้เสริม รายได้จากการขายหมูป่า(ให้ร้านอาหารป่า) เป็นเงินก้อน เป็นกระปุกออมสินประจำครัวเรือน ซึ่งเกษตรกรและประชาชนสามารถเลี้ยงได้ในชุมชนโดยไม่

มีมลภาวะ ทั้งทางเสียง ทางกลิ่น และของเสียในชุมชน ด้วยการเลี้ยงลูกหมูป่า 4 ตัว ในโรงเรือน ขนาด 4x3 เมตร = 12 ตารางเมตร พื้นดินหรือคอนกรีต

หลังคามุงจากหรือกระเบื้อง กั้นคอกด้วยอิฐบล็อกสูง 4 ก้อน แล้วทำเป็นลูกกรงเหล็กหรือไม้ขึ้นมาอีกประมาณ 30 เซนติเมตร ประตูคอกทำเป็นลูกกรงเหล็ก

กว้าง 60 เซนติเมตร สูง 90 เซนติเมตร รายจ่าย ในการเลี้ยงหมูหลุมประยุกต์ รวมค่าใช้จ่าย สิ่งก่อสร้างและวัสดุถาวร เป็นเงิน 10,500 บาท รวม ค่าใช้จ่าย

วัสดุสิ้นเปลือง วัสดุในการเลี้ยง เป็นเงิน 11,220 บาท รวมค่าใช้จ่าย วัสดุถาวร และค่าใช้จ่ายในการเลี้ยง ประมาณ 21,720 บาท รายรับ-จากการขายหมูป่า

และขี้หมู (ทุก 6 เดือน แล้วแต่ปริมาณอาหารและความรีบเร่งในการเลี้ยง) รายได้จากการขายหมู 4 ตัว ตัวละ 60 กิโลกรัม ๆ ละ 65 บาท เป็นเงิน 15,600 บาท จากการขายขี้หมู(จากวัสดุรองพื้นที่ใช้หมัก ปีบละ 30 บาท) เป็นเงิน 7,200 บาท รวมรายได้ เป็นเงิน 22,800 บาท กำไรสุทธิ 6 เดือนแรก = 22,800 – 21,720

เป็นเงิน 1,080 บาท (เพราะมีต้นทุนสิ่งก่อสร้างและวัสดุถาวร) 6 เดือนหลัง และรุ่นต่อๆไป = 22,800 – 11,220 เป็นเงิน 11,580 บาท = ปีแรก กำไรสุทธิ 12,660 บาท

= ปีต่อๆไป กำไรสุทธิ 23,160 บาท ด้านการเรียนรู้ แบบอย่างที่ดีเป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่ประชาชนทั่วไปและลูกหลานในครอบครัว ที่สามารถมีส่วนร่วมในการบริหาร

จัดการขยะ ของเสีย วัสดุเหลือใช้ในบ้าน ในไร่นา และการพึ่งพาตนเอง แบบครบวงจร อย่างคุ้มค่าและยั่งยืน

ขอทราบเกี่ยวกับขุดบ่อในที่ตนเอง
   ตอบ;การขุดบ่อในที่ตนเอง แล้วต้องจ่ายเงิน 2,500 บาท คงหมายถึง โครงการแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน ที่ดำเนินการขุดสระน้ำขนาด 1,260 ลบ.ม.

ในพื้นที่เกษตรกร โดยให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ 2,500 บาท/บ่อ เป็นค่าย้ายเครื่องจักร ปี 2557 พัฒนาที่ดินสุพรรณ.

มีเป้าหมายดำเนินการ 110 บ่อ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของพัฒนาที่ดิน จะพิจารณาหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกพื้นที่เพื่อขุดสระ มีดังนี้
    1. บริเวณที่จะทำการขุดสระเก็บน้ำประจำไร่นา จะต้องเป็นพื้นที่ลุ่มหรือในพื้นที่เหมาะแก่การทำนา ความลาดชันของพื้นที่ไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์
    2. สระที่จะขุดต้องมีพื้นที่รับน้ำท่าไม่น้อยกว่า 8 เท่า ของขนาดสระ โดยให้สังเกตจากร่องน้ำหรือ สัมภาษณ์หาข้อมูลประมาณน้ำท่าในพื้นที่ประกอบการ

พิจารณา
    3. บริเวณที่จะขุดสระจะต้องเป็นดินที่มีดินเหนียวปนอยู่ไม่น้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ตลอดความลึก 3 เมตร จากผิวดิน
    4. ความลึกของสระจะต้องไม่เกิน 3 เมตร
    5. สระที่ขุดจะต้องไม่อยู่ในพื้นที่ที่เป็นบริเวณพื้นที่รับน้ำของพื้นที่ที่มีการแพร่กระจายของดินเค็ม ทั้งนี้ให้ยกเว้นพื้นที่ที่ได้มีการจัดทำระบบป้องกันการแพร่กระจายของดินเค็มอย่างดีแล้ว
    6. สระเก็บน้ำ มีความจุอย่างน้อย 1,260 ลบ.ม. ตามปริมาณงานดินขุด กรณีขุดสระในที่ลุ่ม ความ จุของสระเก็บน้ำจะมากกว่า 1,260 ลบ.ม.
    7. สระเก็บน้ำ ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามรูปแบบมาตรฐาน อาจเป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้าหรือรูปแบบอื่นได้ การเข้าร่วมโครงการแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน
              7.1. ติดต่อกับหมอดินอาสา ไปพบหมอดินอาสาพร้อมแจ้งประสงค์ว่าต้องการมีสระน้ำในพื้นที่ไร่นาของตนเอง พร้อมกรอกแบบฟอร์มแจ้งความประสงค์

ของแหล่งน้ำในไร่นา ขนาด 1,260 ลบ.ม. และระบุจำนวนที่ต้องการ
             7. 2. หรือติดต่อกับสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต หรือสถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดที่อยู่ในจังหวัดใกล้บ้านของท่าน

หญ้าแฝกและหญ้าคาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
   ตอบ;หญ้าแฝก คือพืชตระกูลหญ้าที่มีระบบรากลึก ปริมาณรากมาก รากมีลักษณะสานกันแน่น และแพร่กระจายลงในแนวดิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินเกือบทุกชนิด แต่ไม่ระบาดเป็นวัชพืช

หญ้าแฝกแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ
1.หญ้าแฝกลุ่มหรือหญ้าแฝกหอม ( Vetiveria zizanioides ) มีต้น ใบและทรงกอตั้ง หลังใบมีลักษณะโค้งมน ปลายใบแบน สีเขียวเข้ม เรียบเป็นมันและมีลักษณะอวบน้ำ

ท้องใบออกสีขาวซีดกว่าด้านหลังใบ รากมักมีกลิ่นหอม สามารถปลูกและขยายพันธุ์ค่อนข้างง่าย เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีฝนตกชุก หรือมีความชื้นในดินค่อนข้างสูง

หากขาดน้ำใบจะม้วน แห้งและตายได้ง่าย อายุการใช้งานน้อยกว่าแฝกดอน แต่มีปริมาณรากค่อนข้างมากและลึก
2.หญ้าแฝกดอน(Vetiveria nemoralis ) มีทรงต้น ใบตอนปลายโค้งลงคล้ายกอตะไคร้ มีทรงกอที่แข็งแกร่ง มีทรงกอที่แข็งแกร่ง ใบมีสีเขียวซีด หลังใบพับเป็นสันสามเหลี่ยม

เนื้อใบหยาบ สากคาย ท้องใบสีเดียวกับหลังใบแต่สีซีดกว่า การขยายพันธุ์ต้องพิถีพิถัน(ขยายพันธุ์ยาก)กว่า หญ้าแฝกลุ่ม เจริญเติบโตช้าในช่วงแรก แต่เมื่อปลูกและรอดตายแล้วจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า เจริญเติบโตได้ดีในเกือบทุกสภาพพื้นที่ ทนแล้งและทนสภาพน้ำแช่ขัง ทนทานต่อโรค แมลงและศัตรูพืชต่างๆ ได้ดี

ใบหญ้าแฝกนำมาสานเป็นตับ ใช้มุงหลังคาได้ทนทานกว่าหญ้าคา
           ส่วนหญ้าคา(Cogon grass) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Imperata cylindrica ที่คนทั่วไปมักสับสนคิดว่าเป็นหญ้าแฝก เพราะเป็นพืชตระกูลหญ้าเหมือนกัน ดูผิวเผิน ลักษณะใบ

ทรงกอ ส่วนที่มองเห็นบนผิวดิน คล้ายกัน โดยจะมีลักษณะลำต้นตั้งตรง โคนต้นมีลักษณะกลม ใบแบนยาว ขอบใบคม มีรากน้อย แต่มีขนาดใหญ่และตื้น ส่วนที่เรียกว่าใหล(stolon)

อยู่ใต้ดินเลื้อยไปใต้ดิน ทำให้ยากต่อการทำลาย โดยส่วนของไหลและรากของหญ้าคา ยังปลดปล่อยฮอร์โมน และสารพิษที่ยับยั่งการเจริญเติบโตของพืชที่ขึ้นข้างคียง หรือปลูกร่วม นอกจากนี้เมล็ดยังปกคลุมด้วยขนสีขาวคล้ายไหม เมื่อแก่สามารถปลิวไปตามลมระบาดไปได้ไกลอีกด้วย

หมอดินคือใคร มีประโยชน์อะไรกับชุมชน
   ตอบ;หมอดิน” คือ ชื่อเรียก ที่แสดงถึง สัญลักษณ์ /ภาพลักษณ์ ของกรมพัฒนาที่ดิน ที่มักมีชื่อพ้องกับอีกหลายหน่วยงาน เช่น ที่ดิน ปฏิรูปที่ดิน จัดรูปที่ดิน หรือแม้แต่ที่เรียกรวมๆ ว่า

พวกเกษตรแต่มีภารกิจ/พันธะกิจหลายอย่างต่างกัน “หมอดิน” เช่น สถานีพัฒนาที่ดินสุพรรณบุรี เป็นหน่วยงานราชการส่วนกลาง สังกัด สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 1 กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หมอดิน ที่มีความหมาย 2 นัย นัยแรก คือ ผู้รอบรู้ ผู้เชี่ยวชาญด้านดิน การจัดการดินและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับดิน เพื่อให้การใช้ประโยชน์จากดินและที่ดินในการเกษตรเป็นไปอย่างยั่งยืนและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด นัยที่ 2 คือ ผู้รักษา เพราะที่ผ่านมาเราใช้ดินและที่ดินอย่างประมาท ขาดการระมัดระวัง ปัจจุบันทั้งสภาพทางกายภาพ เคมี และชีวภาพของดิน(สุขภาพของดิน) จึงเสื่อมโทรมลงเป็นอย่างมาก บางแห่งถึงขั้นวิกฤติที่เรียกว่า ” ดินป่วย ” ไม่สามารถใช้ประโยชน์ทางการเกษตร

ได้อย่างคุ้มค่า หมอดินต้องทำหน้าที่รักษา (ปรับปรุง) ให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้ดีดังเดิม หรือมั่นคอยดูแลรักษา(อนุรักษ์) ดินที่อุดมสมบูรณ์(สุขภาพดี)ให้คงความอุดมสมบูรณ์ตลอดไป

หมูหลุมทำไมต้องใช้หมูป่า
    ตอบ;ในการเลี้ยงแบบหมูหลุม หรือหมูหลุมประยุกต์ (โรงปุ๋ยพอเพียง) ที่ใช้หมูพันธุ์เหมยซาน เพราะเลี้ยงลูกเก่ง ให้ลูกดก ไม่กินลูก แต่มีข้อเสีย คือ ตัวเล็ก มันเยอะ ไม่เป็นที่ต้องการ

ของตลาดให้คัดเลือกตัวใหญ่ๆ แข็งแรง โตเร็ว โดยผสมกับพ่อพันธุ์ที่เป็นหมูป่า เพราะแข็งแรง ทนโรค หากินเก่ง กินง่าย ข้อเสีย คือ บางตัวกินลูก ลูกตัวเล็ก ให้ลูกไม่ดก ให้คัดเลือกตัวใหญ

่ยาว แข็งแรง อัณฑะใหญ่ **จะได้"หมูป่าลูกผสมเหมยซาน” ที่เลี้ยงง่าย ให้ลูกดก แข็งแรง และทนต่อโรค ที่สำคัญคือ “หมูป่าลูกผสมเหมยซาน” เลี้ยงง่าย กินอาหาร เศษอาหาร เศษพืช

วัชพืช (ที่ไม่ใช่พืชพิษ) ได้ทุกอย่าง ภูมิต้านทานโรคสูง

ยาลมเบ่งข้าว
   ตอบ;ยาลมเบ่งหรือสารลมเบ่งที่บริษัท หรือร้านขายให้เกษตรกรนั้น จริงๆก็คือปุ๋ยโพแทสเซียมไนเตรท (13-0-46) และ Urea -G (ยูเรีย เกรดจี ที่ใช้ในการปลูกพืชไม่ใช้ดินครับ

โดยหลักการสารลมเบ่งจะใช้ฉีดช่วงระยะข้าวตั้งท้อง ก่อนข้าวออกดอก เพื่อให้ข้าวออกดอกพร้อมกัน จะทำให้ทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียได้ผสมกันได้พร้อมเพรียงกัน ผลที่ตามมาก็

คือข้าวจะออกรวงพร้อมกัน น้ำหนักก็จะเยอะตาม ทำให้ผลผลิตต่อไร่ได้มากขึ้น อัตราการใช้ ; 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ช่วงที่เหมาะสม 1) ช่วงข้าวตั้งท้อง ก่อนออกดอก 2) ช่วงหน้าหนาวที่ข้าวเจริญเติบโตช้าครับ

EMกับน้ำหมักชีวภาพ
   ตอบ;ปุ๋ยน้ำ ปุ๋ยน้ำชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ของพัฒนาที่ดิน ที่พูดถึง ปัจจุบันกรมพัฒนาที่ดินได้เปลี่ยนชื่อเป็น “น้ำหมักชีวภาพ” แล้ว แต่จริงๆก็คือ กลุ่มจุลินทรีย์

ที่มีประสิทธิภาพ( Effective Microorganisms ) หรือ EM ชนิดหนึ่ง แต่ Effective Microorganisms หรือเรียกย่อๆ ว่า EM ที่คุณโสภา กล่าวถึง คงหมายถึง EM

ที่ ศ.ดร.เทรูโอะ ฮิงะ นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญสาขาพืชสวน มหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาวา นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ได้ศึกษาแนวคิดเรื่อง " ดินมีชีวิต"

ของท่านโมกิจิ โอกะดะ (พ.ศ.2425-2498) บิดาเกษตรธรรมชาติของโลกจากนั้น ดร.ฮิงะ เริ่มค้นคว้าทดลองตั้งแต่ปี พ.ศ 2510 และค้นพบ EM เมื่อ พ.ศ. 2526 ท่านได้ทำการวิจัยผลว่ากลุ่มจุลินทรีย์นี้ใช้ได้ผลจริง หลังจากนั้นศาสนาจารย์วาคุกามิ ได้นำมาเผยแพร่ในประเทศไทย โดยท่านเป็นประธานมูลนิธิบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยกิจกรรมทางศาสนา หรือ คิวเซ (คิวเซ แปลว่า ช่วยเหลือโลก) ปัจจุบัน ตั้งอยู่ที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกการใช้ น้ำหมักชีวภาพ Effective Microorganisms หรือ EM เพื่อการเกษตร และปรับปรุงสภาพแวดล้อมในยุคแรกๆ

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ในนาข้าวที่ชาวบ้านทำได้ง่ายๆ
   ตอบ;ปุ๋ยอินทรีย์ เป็นสิ่งจำเป็นของการทำการเกษตรแบบอินทรีย์ แต่การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ให้มีธาตุอาหารเพียงพอ ต่อความต้องการของพืชที่ปลูก เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่าย การใช้และการ

ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว จะทำให้การทำเกษตรอินทรีย์ ประสบความสำเร็จ มีองค์ประกอบหลายปัจจัย ที่เกษตรกรต้องรู้

โดยพิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ยึดหลักความเป็นจริง ก่อนตัดสินใจทำเกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรทั่วๆไป ต้องดูทั้งข้อดีและข้อจำกัดของปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ข้อดีของ

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ได้แก่ ช่วยปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดินคือทำให้ดินร่วนซุย การถ่ายเทอากาศดี เพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำ ช่วยปรับปรุงสมบัติทางเคมีของดิน เพิ่มความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุบวกของดิน ช่วยละลายแร่ธาตุในดิน ให้พืชใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยควบคุมปฏิกิริยาของดิน (pH) ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เกินไป ช่วยปรับปรุงสมบัติทางด้านชีวภาพของดิน โดยการช่วยเพิ่มชนิด ปริมาณและส่งเสริมกิจกรรมของจุลินทรีย์ และสัตว์ที่มีขนาดเล็กในดินเพราะอินทรียวัตถุเป็นแหล่งอาหารและพลังงานที่สำคัญของจุลินทรีย์และสัตว์ที่มีขนาดเล็กในดิน ช่วยปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารพืชในดิน โดยช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุให้แก่ดิน นอกจากนั้นปุ๋ยอินทรีย์บางชนิดยังมีจุลินทรีย์ที่สามารถตรึงก๊าซไนโตรเจนจากอากาศได้ด้วย หรือช่วยให้ธาตุอาหารในดินถูกปลดปล่อยออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืชมากขึ้น ยังช่วยทำให้ต้นพืชแข็งแรง และมีความต้านทานต่อโรคและหรือแมลงศัตรูพืชมากขึ้นด้วย

ความรู้เรื่องแฝก ช่วงนี้เห็นมีการรณรงค์ให้ปลูกกัน
   ตอบ;หญ้าแฝก (Vetiver grass) เป็นพืชตระกูลหญ้าที่มีระบบรากลึก(ที่สุด) รากมีปริมาณมาก และมีลักษณะสานกันแน่น และแพร่กระจายลงในแนวดิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินเกือบ

ทุกชนิดหญ้าแฝกแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ 1. หญ้าแฝกลุ่มหรือหญ้าแฝกหอม ( Vetiveria zizanioides ) มีต้น ใบและทรงกอตั้ง หลังใบมีลักษณะโค้งมน ปลายใบแบน สีเขียวเข้ม เรียบเป็นมันและมีลักษณะอวบน้ำ ท้องใบออกสีขาวซีดกว่าด้านหลังใบ รากมักมีกลิ่นหอม สามารถปลูกและขยายพันธุ์ค่อนข้างง่าย เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีฝนตกชุก หรือมีความชื้นใน

ดินค่อนข้างสูง หากขาดน้ำใบจะม้วน แห้งและตายได้ง่าย อายุการใช้งานน้อยกว่าแฝกดอน แต่มีปริมาณรากค่อนข้างมากและลึก 2. หญ้าแฝกดอน(Vetiveria nemoralis ) มีทรงต้น ใบตอนปลายโค้งลงคล้ายกอตะไคร้ มีทรงกอที่แข็งแกร่ง มีทรงกอที่แข็งแกร่ง ใบมีสีเขียวซีด หลังใบพับเป็นสันสามเหลี่ยม เนื้อใบหยาบ สากคาย ท้องใบสีเดียวกับหลังใบแต่สีซีดกว่า การขยายพันธุ์ต้องพิถีพิถัน(ขยายพันธุ์ยาก)กว่า หญ้าแฝกลุ่ม เจริญเติบโตช้าในช่วงแรก แต่เมื่อปลูกและรอดตายแล้วจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า